ยินดีต้อนรับและขอบคุณที่ทุกท่านเข้ามาเยี่ยมชมบล็อกของฉัน ^^

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนการสอนครั้งที่ 10

บันทึกการเรียนรู้รายวิชา การบริหารสถานศึกษาระดับปฐมวัย
วัน พุธ ที่ 21 มีนาคม 2560 เวลา 08:30 - 11:30 น.


ความรู้ที่ได้รับ 


  • นำเสนอคำคมที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษาต่อจากสัปดาหืที่แล้ว ประกอบด้วย น.ส.วนิดา,น.ส.ปรียานุช,น.ส.บงกช
  • เรียนเนื้อหาการเรียนการสอน เรื่อง "เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีสำหรับการเป็นผู้บริหาร"



  ความหมายของบุคลิกภาพ ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเป็นผลทำให้บุคคลนั้น มีความแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ บุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 สภาพ ด้วยกันคือ
  บุคลิกภาพภายนอก สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ และสามารถวัดผลได้ทันที บุคลิกภาพภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ บุคลิกภาพทางกายและวาจา
  บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกภาพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นส่วนที่สัมผัสได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการสัมผัส
ประเภทของบุคลิกภาพ 
บุคลิกภาพภายนอก  คือ  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของ
  แต่ละคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น  
  4 หมวด คือ
            1.  รูปร่างหน้าตา
            2.  การแต่งกาย
            3.  กิริยาท่าทาง
            4.  การพูด

บุคลิกภาพภายใน  คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  แก้ไขได้ยาก  เช่น
  1.      ความเชื่อมั่นในตนเอง  
  2.      ความกระตือรือร้น
  3.      ความรอบรู้  
  4.      ความคิดริเริ่ม
  5.      ความจริงใจ  
  6.      ไหวพริบปฏิภาณ
  7.      ความรับผิดชอบ  
  8.      ความจำ
  9.      อารมณ์ขัน
การมองตัวเองในกระจกเงา
                                                       การมองเห็นตัวเอง
                                                       การยอมรับตัวเอง
                                                        การเข้าใจในตัวเอง
                                                        ความเชื่อถือตัวเอง
                                                    ความต้องการเปลี่ยนตัวเอง

ครูควรพัฒนาตนเองใน 2 ลักษณะคือ
1. การพัฒนาตนเองในด้านวิชาชีพ เพื่อการประกอบวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้แก่
  •            การพัฒนาในด้านความรู้
  •            การพัฒนาในด้านเทคโนโลยี
  •            การพัฒนาในด้านคุณลักษณะกับเจตคติ 
2.การพัฒนาตนในด้านการเป็นสมาชิกของสังคม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
  •           การรู้จักตนเองและการเข้าใจตนเอง
  •           การสำรวจตนเอง
  •           การปรับปรุงตนเองในด้าน การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก ภายใน
  •           การพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดี การพัฒนามนุษยสัมพันธ์ การพัฒนาการเรียนรู้
การพัฒนาตนเองควรประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
1. พยายามค้นพบตนเอง ทำความรู้จักตนเอง โดยหมั่นตรวจตราพิจารณาตนเองถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนการกระทำของตนเอง นอกจากนี้ควรสนใจรับฟังข้อคิดเห็น หรือคำวิจารณ์ของบุคคลอื่นที่มีต่อตัวเราบ้าง ต่อจากนั้นให้หันกลับมาพิจารณาตนเองในแง่มุมเหล่านี้
  1.1 ตัวของเราที่เป็นจริงเป็นอย่างไร
  1.2 ตัวของเราที่รับรู้เป็นอย่างไร
  1.3 ตัวของเราที่เราอยากจะเป็น เป็นอย่างไร
2.  เมื่อได้พิจารณาตนเองแล้ว รู้จักตนเองแล้ว เรายอมรับได้ไหมว่า สิ่งนั้นคือตัวเรา การยอมรับตนเองนั้น ควรจะยอมรับทั้งในส่วนที่เป็นจุดอ่อน และจุดเด่นไปด้วยกัน มิใช้จะยอมรับแต่จุดเด่น แล้วไม่สนใจจุดอ่อนโดยไม่ยอมรับจุดอ่อน
3.  ท้ายที่สุด คือ การหาทางพัฒนาจุดอ่อนหรือส่วนที่เราไม่พอใจที่อยู่ในตัวเรา (bed me) ให้ดีขึ้น (good me)
การพัฒนาบุคลิกภาพด้านการเรียนรู้
  ในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นครูจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ให้ตรงกับตนเองอยู่เสมอ ประกอบด้วย การฟัง การอ่าน การเขียน การสังเกต การคิด การทดลอง

การนำไปประยุกต์ใช้
       การนำไปใช้จากการนำเสนอคำคมไปปรับใช้เรื่องของการทำงานทั้งต่อตนเอง การทำงานเป็นกลุ่มและการดำรงชีวิตในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้นำไปปรับใช้การเสริมสร้างบุคลิกภาพในการทำงานตนเองในอนาคต
การประเมินผล
ประเมินตนเอง      ตั้งใจฟังการนำเสนอของเพื่อน ตรงต่อเวลา เป็นผู้ฟังที่ดี
ประเมินเพื่อน       แต่งกายเรียบร้อย ตรงต่อเวลา มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในการสอน
ประเมินอาจารย์    อาจารย์แต่งกายเรียบร้อย ให้คำชี้แนะเพิ่มเติมทำให้เกิดความเข้าใจโดยง่าย 


วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนการสอนครั้งที่ 9

บันทึกการเรียนรู้รายวิชา การบริหารสถานศึกษาระดับปฐมวัย
วัน พุธ ที่ 14 มีนาคม 2560 เวลา 08:30 - 11:30 น.

  สอบนอกตาราง

 

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนการสอนครั้งที่ 8

บันทึกการเรียนรู้รายวิชา การบริหารสถานศึกษาระดับปฐมวัย
วัน พุธ ที่ 7 มีนาคม 2560 เวลา 08:30 - 11:30 น.

ความรู้ที่ได้รับ 

  • นำเสนอคำคมเกี่ยวข้องกับการบริหารในสถานศึกษาต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว
  • นำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษาแบ่งเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ดังนี้ 
นำเสนอคำคมต่อจากสัดาห์ที่แล้ว

งานวิจัยเรื่อง รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน A Model of School Administrative Effectiveness for Master  School Development to ASEAN Community
การศึกษาระดับ  ปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต(การบริหารการศึกษา) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผู้วิจัย นายธีระวัฒน์ มอนไธสง
ปีการศึกษา พ.ศ. 2557
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1  ศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของเศรษฐกิจฐานความรู้ ที่มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อันสืบเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทุกภูมิภาคของโลกเข้าด้วยกัน กระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสังคม
ประเด็นที่  2  คุณภาพการศึกษาของประชากรเป็นปัจจัยบ่งชี้ความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ประเด็นที่  3  การจัดการศึกษามีความจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพของประชากร และสำคัญต่อการพัฒนาประเทศขณะที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาคุณภาพของการจัดการศึกษาเพื่อให้มีศักยภาพสามารถที่จะแข่งขันกับนานาประเทศได้
ประเด็นที่ 4   แนวคิดเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียนเกิดจากความต้องการในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นระบบโดยมุ่งหวังให้เกิดความเสมอภาคของการให้บริการการศึกษาแก่เด็กไทยทุกคนมีความเท่าเทียมกันในคุณภาพของการจัดการศึกษาในโรงเรียน และลดความเหลื่อมล้ำในคุณภาพของผลผลิต
ประเด็นที่ 5   การก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนโรงเรียนที่จะประสบผลสำเร็จเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ซึ่งเป็นผลมาจากองค์ประกอบที่มีประสิทธิผล การเลือกใช้รูปแบบที่ดีที่สุดที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ที่เกิดในขณะนั้น และการคิดค้นพัฒนารูปแบบการบริหารใหม่ ๆ ที่มีการแสดง หรืออธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบสำคัญ ๆ ที่ใช้เพื่อการบริหาร

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  1. เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
  2. เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
  3. เพื่อตรวจสอบรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
  1. สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลที่ชัดเจนและเป็นไปได้
  2. องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนที่สถานศึกษาอื่นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้

ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
                การวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน จากการศึกษาค้นคว้าแนวคิด ทฤษฎี ตลอดจนเอกสาร และงานวิจัย
ต่าง ๆ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตเนื้อหา ดังนี้
1. นโยบายด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ประกอบด้วย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553)
1.1 นโยบายที่ 1 การเผยแพร่ความรู้ข้อมูลข่าวสาร และเจตคติที่ดีเกี่ยวกับอาเซียน
1.2 นโยบายที่ 2 การพัฒนาศักยภาพของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนให้มีทักษะที่เหมาะสม
1.3 นโยบายที่ 3 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา
1.4 นโยบายที่ 4 การเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดเสรีการศึกษาในอาเซียน
1.5 นโยบายที่ 5 การพัฒนาเยาวชนเพื่อเป็นทรัพยากรสำคัญในการก้าวสู่ประชาคม
2. องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มี สรุปได้ 9 หัวข้อสำคัญได้แก่
1)      ภาวะผู้นำ
2)      ความคาดหวังสูง
3)      การมีวิสัยทัศน์ และเป้าหมายที่ชัดเจน
4)      การพัฒนาหลักสูตรที่เน้นวิชาการ
5)      กระบวนการจัดการเรียนการสอน 
6)      บรรยากาศสภาพแวดล้อมขององค์การที่เอื้อต่อการเรียนรู้
7)      การนิเทศกำกับติดตามผล
8)      การมีส่วนร่วมของชุมชน/ผู้ปกครอง และ
9)      การพัฒนาวิชาชีพครู
นิยามศัพท์เฉพาะ
  •     การบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล หมายถึง ความสามารถในการบริหารงานในโรงเรียนด้วยความเป็นมืออาชีพของครู และผู้บริหาร ซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จของการบริหารงานของโรงเรียนทั้ง 4 งาน คือ
1)      การบริหารงานวิชาการ
2)      2) การบริหารงานงบประมาณ
3)      3) การบริหารงานบุคคล และ
4)      4) การบริหารงานทั่วไป
  • ประชาคมอาเซียน (Association of South East Asian Nations ) หมายถึง การรวมตัวกันของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ รัฐบรูไนดารุสซาลาม ราชอาณาจักรกัมพูชาสาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประเทศไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศในทุกด้าน
สมมุติฐานการวิจัย
เพื่อให้สอดคล้องกับข้อคำถามของการวิจัยผู้วิจัยจึงตั้งสมมุติฐานของการวิจัย ดังนี้
  1. องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนเป็นพหุองค์ประกอบ
  2. รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนเป็นพหุองค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความเหมาะสม
  3. กลุ่มโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนมีองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล ที่เด่นชัดแตกต่างกัน

วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร                             
                บุคลากรสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้เป็นโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน จำนวน 68 โรง ประกอบด้วยโรงเรียนประเภท Sister school จำนวน 30 โรง โรงเรียนประเภท Buffer school จำนวน 24 โรงและโรงเรียนประเภท ASEAN focus school จำนวน 14 โรง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553)
กลุ่มตัวอย่าง       
                ผู้อำนวยการโรงเรียน และรองผู้อำนวยการโรงเรียนหรือครูที่เป็นหัวหน้างานทั้งสี่งานในโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้เป็นโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนจำนวน 68 โรง ประกอบด้วย โรงเรียนประเภท Sister school จำนวน 30 โรง โรงเรียนประเภทBuffer school จำนวน 24 โรง และโรงเรียนประเภท ASEAN focus school จำนวน 14 โรง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553) จำนวนทั้งสิ้น 340 คน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามจำแนกออกเป็นสามตอน มีรายละเอียด ดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลสถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา
                ตำแหน่งที่รับผิดชอบ มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ
ตอนที่ 2 เป็นคำถามเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบ
                การพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน มีลักษณะเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) ของลิเคิร์ท (1961) สอบถามระดับการปฏิบัติตามสภาพที่เป็นจริง 5 ระดับ ดังนี้
                ระดับ 5 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงมากที่สุด
                ระดับ 4 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงมาก
                ระดับ 3 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงปานกลาง
                ระดับ 2 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงน้อย
                ระดับ 1 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงน้อยที่สุด
ตอนที่ 3 เป็นคำถามเกี่ยวความคิดเห็น และข้อเสนอแนะอื่นๆ เป็นคำถามปลายเปิด

สรุปผลการวิจัย
                จากผลการวิจัย สรุปได้ว่า รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนมีสองรูปแบบ คือ รูปแบบมุ่งเน้นการนิเทศ กับรูปแบบมุ่งเน้นเป้าหมาย สถานศึกษาสามารถที่จะนำไปใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น สถานศึกษาต้องยึดหลักการกระจายอำนาจในการตัดสินใจโดยมุ่งไปที่การตัดสินใจร่วมกันในการบริหารจัดการศึกษาของโรงเรียน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน และชุมชน จึงทำให้รูปแบบการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผลเป็นรูปแบบที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

 


งานวิจัยเรื่อง การบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
การศึกษาระดับ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผู้วิจัย นางสาว ยุกตนันท์ หวานฉ่ำ
ปีการศึกษา 2555
 
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 สภาพของสังคมในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สังคมประเทศไทยเป็นยุค
ที่มีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ทันสมัยเข้ามามีบทบาทพร้อมกับวัฒนธรรม
ของชาติตะวันตก ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งการศึกษาถือได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและเป็นการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาในทุกๆด้าน รวมทั้งการแก้ปัญหาต่างๆในสังคม เนื่องจากการศึกษาเป็นกระบวนการที่ช่วยให้คนได้พัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ตลอดเวลา โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคนไทยให้มีความเจริญงอกงามทั้งทางด้านสติปัญญา ความรู้ คุณธรรมความดีงามในจิตใจ มีความสามารถที่จะทำงาน และคิดวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง สามารถเรียนรู้แสวงหาความรู้ตลอดจนให้ความรู้อย่างสร้างสรรค์ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติสำนักนายกรัฐมนตรี, 2553: 3)
ประเด็นที่ 2 การบริหารสถานศึกษา เป็นภารกิจหลักของผู้บริหารที่จะต้องกำหนดแบบแผนวิธีการและขั้นตอนต่างๆ ในการปฏิบัติงานไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อที่จะให้งานนั้นบรรลุจุดหมายที่วางไว้การบริหารงานจะต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ทุกประการ เพราะการดำเนินงานต่างๆ มิใช่เพียงกิจกรรมที่ผู้บริหารจะกระทำ เพียงลำพังแต่ยังมีผู้ร่วมงานอีกหลายคนที่สามารถทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ (ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, 2544: )
ประเด็นที่ 3  ประสิทธิผลของโรงเรียน เกิดจากสภาพทางสังคมบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวผู้เรียนที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้อย่างเหมาะสม มีความพร้อมในด้านทรัพยากรต่างๆเอกสาร สื่อวัสดุ อุปกรณ์ เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีคุณภาพและประสิทธิภาพ มีงบประมาณเพียงพอ และมีทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้สามารถจัดการศึกษาได้อย่างดี ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ และทักษะในด้านต่างๆ เพื่อให้กระบวนการจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (พิมพรรณ สุริโย, 2552: 27)
ประเด็นที่ 4 การบริหารสถานศึกษาทั้ง 4 ด้านให้มีคุณภาพสอดคล้องกับประสิทธิผลของโรงเรียนและความต้องการของบุคคลและสังคมนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการพัฒนาคนที่สำคัญของประเทศโดยผู้บริหาสถานศึกษามีอำนาจในการจัดการศึกษาของโรงเรียน มีหน้าที่และรับผิดชอบในการตัดสินใจที่เกี่ยวกับงานวิชาการ งานงบประมาณ งานบุคคล และงานทั่วไป โดยเป็นไปตามความต้องการของนักเรียนและชุมชน (วิรัตน์ มะโนวัฒนา, 2548: 26)
ประเด็นที่ 5 โรงเรียนที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา ปทุมธานีเขต 1 เป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีการบริหารจัดการศึกษาขั้นฐานของพื้นที่ทั้ง 4 อำเภอประกอบด้วย อำเภอเมืองปทุมธานี อำเภอสามโคก อำเภอลาดหลุมแก้ว และอำเภอคลองหลวง ซึ่งโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง มีจำนวนโรงเรียนทั้งหมด34 โรงเรียน ในการบริหารสถานศึกษามุ่งส่งเสริมให้ประชากรทุกคนได้รับโอกาสในการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปีอย่างทั่วถึงและได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ พัฒนาผู้เรียนให้มีนิสัยใฝ่รู้ สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต(สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1, ออนไลน์, 2554 
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  1. เพื่อศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1 
  2. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
  3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1

วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
                ครูผู้สอน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี
เขต 1 ในปี การศึกษา 2554 จำนวน 34 โรงเรียน รวมจำนวน 494 คน  
         
กลุ่มตัวอย่าง
            ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 285 คน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
                แบบสอบถาม (Questionnaire) ที่ผู้วิจัยปรับปรุงขึ้น โดยพิจารณาภายใต้กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีได้จากการศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องรวมทั้งให้สอดคล้องกับคำจำกัดความในการวิจัยที่ได้กำหนดไว้แบ่งเป็น 3 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 เป็ นแบบสำรวจรายการ (Checklist) สอบถามเกี่ยวกับสภาพทั่วไป

นิยามศัพท์เฉพาะ
  1. การบริหารสถานศึกษา หมายถึง กระบวนการในการทำงานโดยมีผู้บริหารสถานศึกษาปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นระบบในสถานศึกษาที่ต้องดำเนินการ 4 ด้าน คือด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการบริหารทั่วไป
  2. ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ความสามารถของผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนที่ทำงานร่วมกันจนสามารถทำให้นักเรียนมีความใฝ่ รู้รักการอ่าน รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งด้านการบริหารและการเรียนการสอนจนบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่โรงเรียนกำหนดไว้

สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย
จะเห็นได้ว่า ในการที่จะเป็นนักบริหารที่ดีในอนาคตนั้นจะต้องมีคุณลักษณะหลายอย่างที่เป็นแบบใหม่แนวใหม่ และแบบผสมผสานที่ไม่มีลักษณะเฉพาะที่ตายตัว และสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาแล้ว ก็คงไม่อยู่ในข้อยกเว้นเช่นกันการที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้บริหารในระดับมืออาชีพนั้น ต่อไปคงต้องเป็นผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์มองการณ์ไกล มีมุมมองในการบริหารการทำงานเชิงกลยุทธ์ รู้จักการประมวลวิเคราะห์ ประเมินและตัดสินใจและยังต้องดูแล รับผิดชอบการดำเนินงานตามปกติของสถานศึกษาในทุกด้านให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการบริหารคุณภาพโครงการพัฒนาวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษาประจำการ (ชุดวิชาภาวะผู้นำทางการศึกษา.กรุงเทพ : สำนักงานส่งเสริมวิชาชีพ สำนักงานเลขานุการคุรุสภา,2549.จริยะ วิโรจน์ และคณะ การวิจัยเชิงประเมินผลโรงเรียนปฏิรูปการเรียนรู้ เขตการศึกษา 5.ราชบุรี :สำนักผู้ตรวจราชการประจำเขตตรวจราชการที่ 4 กระทรวงศึกษาธิการ, 2546.จำลอง นักฟ้อน เส้นทางสู่นักบริหารการศึกษามืออาชีพ)
 
 

ชื่องานวิจัย  การบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา อำเภอ เลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
การศึกษาระดับ   ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต  มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ผู้วิจัย : พระสุธิศักดิ์ สุภกิจฺโจ (เขียวหวาน)
ปีการศึกษา : 2554

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  1. เพื่อศึกษาการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส      ทางการศึกษาอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
  2. เพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
  3. เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
  1. ทำให้ทราบการบริหารการศึกษา ตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
  2. ทำให้ทราบการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
  3. ทำให้ทราบการศึกษาแนวทางการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอ เลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
  • แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม
  • เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
สรุปผลการวิจัย
การศึกษาเรื่องการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี สรุปได้ดังนี้
  1.     ข้อมูลทั่วไปของครูผู้ตอบแบบสอบถาม ครูผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนทั้งสิ้น 160 คน ส่วนใหญ่เป็นหญิง จำนวน 97 คน คิดเป็นร้อยละ 60.6 เป็นชาย จำนวน 63 คน คิดเป็นร้อยละ 39.4
  2.     ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี โดยรวม อยู่ใน ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าครูมีความเห็นอยู่ในระดับมากทุกข้อ

 งานวิจัยเรื่อง  รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มี ประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี

AN ADMINISTRATIVE MODEL FOR AN EFFECTIVEEARLY CHILDHOOD PRIVATE SCHOOL
IN NONTHABURI PROVINCE
การศึกษาระดับ   ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา  มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ผู้วิจัย   นางเรขา ศรีวิชัย
ปีการศึกษา 2554

ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 ปัจจุบันครอบครัวไทยทั้งในเมืองและชนบทเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไปจากเดิมส่งผลให้บทบาทของสถาบันครอบครัวด้านการดูแลเด็กในครอบครัว ลดความสำคัญลง
ประเด็นที่ 2 สมาชิกของครอบครัวต่างทุ่มเทแรงกายและเวลาไปกับการทำงานนอกบ้านไม่มีเวลาในการดูแลครอบครัวและลูกน้อยจึงนำไปฝากไว้กับสถานดูแลเด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  1. เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานของสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลใน จังหวัดนนทบุรี
  2. เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานของสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล ในจังหวัดนนทบุรี

ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
ด้านเนื้อหาผู้วิจัยนำแนวคิดของทฤษฎีระบบของ Hoy &Miskel (2008, p. 292) มาปรับปรุงเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัยเรื่องรูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรีซึ่งประกอบด้วย
1.  ปัจจัยนำเข้า (Inputs) ได้แก่
                1.1 สภาพแวดล้อมของสถานศึกษา
                1.2 การสนองตอบความต้องการและแหล่งเรียนรู้ของชุมชน
                1.3 นโยบายของรัฐบาล
                1.4 นโยบายของคณะกรรมการสถานศึกษา
                1.5 ผู้เรียน
                1.6 ผู้บริหาร และครู
                1.7 จรรยาบรรณวิชาชีพของครู
                1.8 จรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหาร
                1.9 งบประมาณ
2.  กระบวนการแปลงสภาพ (Transformation process) ได้แก่
                2.1 การบริหารจัดการหลักสูตร
                2.2 กิกรรมการเรียนการสอน
                2.3 การวัด และ ประเมินผล
3.  ผลผลิต (Outputs)ได้แก่
                3.1 ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน
                3.2 ความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียน

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
  • ประชากร คือ ผู้บริหาร ครู บุคลากร และผู้ปกครองในสถานศึกษาปฐมวัยเอกชนใน จังหวัดนนทบุรี จำนวน 3แห่ง
  • กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารครูบุคลากรและผู้ปกครองในสถานศึกษาเอกชนระดับประถมวัยในจังหวัดนนทบุรีที่สุ่มแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนดจำนวน 3 แห่ง ระยะเวลาในการศึกษาวิจัยเริ่มต้น ปีการศึกษา 2554

ตัวแปรที่ใช้ในงานวิจัย
  • ตัวแปรอิสระ   รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
  • ตัวแปรตาม    ประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี
นิยามคำศัพท์
รูปแบบ (Model) หมายถึง  องค์ประกอบแผนภูมิโครงสร้างลำดับขั้นตอนการบริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล
ปัจจัยป้อน (Input) หมายถึง ทรัพยากรที่ใช้ในการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล
กระบวนการแปลงสภาพ ( Transformation process ) หมายถึง ขั้นตอนและวิธีการแปลงสภาพระบบสังคมมาใช้ในสถานศึกษาได้แก่การบริหารจัดการหลักสูตรการเรียนการสอนการวัดผลและประเมินผล
ผลผลิต (Outputs) หมายถึง ผลจากการนำปัจจัยนำเข้ามาสู่กระบวนการแปลงสภาพจนได้สิ่งของหรือบริการที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด
ประสิทธิผล ( Effectiveness) หมายถึง การบริหารจัดการที่องค์การหรือหน่วยงานดำเนินไปจนบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
  • แบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรีที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3 คน โดยมีข้อคำถาม จำนวน 80 ข้อ
  •   แบบสอบถามที่ใช้ในการสอบถาม ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้ปกครองนักเรียน ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 944 คน จำนวน 122 ข้อ
  •   แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม เพื่อตรวจสอบร่างรูปแบบ
  •   แบบประเมินความเหมาะสมในการนำรูปแบบไปใช้
สรุปผลการวิจัย
  1. รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล ประกอบด้วย ปัจจัยนำเข้าที่มีองค์ประกอบย่อย คือ สภาพแวดล้อมของสถานศึกษาการตอบสนองความต้องการของชุมชนและแหล่งเรียนรู้ในชุมชน นโยบายของรัฐบาล นโยบายของคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้เรียน ผู้บริหารและครู จรรยาบรรณวิชาชีพ ของครู จรรยาบรรณวิชาชีพ ของผู้บริหาร และ งบประมาณปัจจัยด้านกระบวนการนั้น ประกอบด้วย การบริหารจัดการหลักสูตรการเรียน การสอน และการวัดและประเมินผลด้านผลผลิต คือผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน และความพึงพอใจ ของผู้ปกครองนักเรียน
  2. จากการประเมินรูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล ในจังหวัดนนทบุรี พบว่า รูปแบบนี้มีประโยชน์มีความสอดคล้องและความเป็นไปได้  ส่วนความเหมาะสมจำเป็นต้องพัฒนาจากขนาดของสถานศึกษารวมทั้งสถานศึกษาจะต้องแสดงความเป็น เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ในการบริหารจัดการให้ชัดเจนด้วย

สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย   จากการศึกษาวิจัย รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี ความรู้ที่ได้จากวิจัย จะเห็นได้ว่าทรัพยากรที่มีความสำคัญในการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี ได้แก่ สภาพแวดล้อมของสถานศึกษาการตอบสนองความต้องการของชุมชน แหล่งเรียนรู้ในชุมชน นโยบายของรัฐบาล นโยบายของคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้เรียน ผู้บริหาร ครู และงบประมาณ นอกจากนี้ยังมีระบบโครงสร้างของสถานศึกษาคุณลักษณะของผู้เรียนคุณลักษณะของครู คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษา คุณลักษณะของบุคลากรทางการศึกษา ระบบวัฒนธรรม ระบบการเมือง การเรียนการสอน ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน จรรยาบรรณวิชาชีพครู จรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหาร คุณธรรมจริยธรรม และ ความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียน สิ่งสำคัญเหล่านี้เป็นส่วนย่อยในการบริหารสถานศึกษาที่ได้รับจากกาศึกษาวิจัย
 
งานวิจัยเรื่อง การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่
การศึกษาระดับ  ประถมศึกษา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
ผู้วิจัย  ลดารัตน์  ศศิธร
ปีการศึกษา  2558
 
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1
            กระทรวงศึกษาธิการมุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาและสร้างโอกาสให้คนไทยมีการศึกษาตลอดชีวิต  ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับการศึกษาโดยกำหนดเป้าหมายการศึกษาอย่างชัดเจน  ที่จะทำให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคนเพื่อให้เป็นคนที่มีคุณภาพ  มีความพร้อมทั้งทางร่างกาย จิตใจ  สติปัญญามีจิตสำนึกของความเป็นไทย  และตระหนักรู้ถึงขนบธรรมเนียม  ประเพณีไทย  และตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาประเทศ
ประเด็นที่  2  
            สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานให้มีมาตรฐานตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ.2545 ในมาตรา 4 ซึ่งกำหนดว่า “มาตรฐานการศึกษา” หมายถึง ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะ คุณภาพที่พึงประสงค์และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่ง และเพื่อใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงสำหรับการส่งเสริมและกำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมิน และการประกันคุณภาพทางการศึกษา (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2555, น.1-4) ในปีพ.ศ.2554 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนในสังกัดจำนวน 31,116 โรงเรียน จำแนกขนาดของโรงเรียนตามจำนวนนักเรียน เป็น 4 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็ก มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 120 คนลงมา ขนาดกลาง มีจำนวนนักเรียน ตั้งแต่ 121 ถึง 600 คน ขนาดใหญ่
มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 601 ถึง 1,500 และขนาดใหญ่พิเศษ มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 1,501 คนขึ้นไป
ประเด็นที่  3
            จากการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน(2554,น.1-5) พบว่าคุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กส่วนมากขาดประสิทธิภาพ และมีคุณภาพค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบโรงเรียนขนาดกลางและใหญ่ ปัญหาด้านกานลงทุนการศึกษาพบว่าการลงทุนการศึกษากับผลตอบแทนที่โรงเรียนขนาดเล็กจะได้รับไม่คุ้มเปรียบเทียบกับโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่ส่วนปัญหาด้านการลงทุนพบว่าการลงทุน,การศึกษากับผลตอบแทนโรงเรียนขนาดเล็กได้รับไม่คุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนขนาดกลางและใหญ่ทั้งนี้เนื่องจากโรงเรียนขนาดเล็กขาดปัจจัยต่างๆมากถ้าหากโรงเรียนเหล่านี้มีความพร้อมด้านบุคลากรงบประมาณสื่อวัสดุอุปกรณ์ต่างมาส่งเสริมสนับสนุนในการบริหารจัดการโรงเรียนให้ได้ตามมาตรฐาน  หลักสูตรกำหนดการลงทุนต้องสูงมากและไม่คุ้มกับการลงทุนในด้านขวัญและกำลังใจจากบุคลากรพบว่าขวัญขวัญและกำลังใจในโรงเรียนขนาดเล็กนั้นด้อยกว่าโรงเรียนขนาดกลางพลังในการคิดร่วมทำงานร่วมกันมีน้อยขาดความพร้อมในการปฎิบัติขาดความพร้อมการเรียนการสอนขาดแหล่งวิชาการตลอดจนขาดความก้าวหน้าหน้าที่การงานมีน้อยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงมีนโยบายพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กโรงการรวบรวมโรงเรียนขนาดเล็กในปีพ.ศ.2554 จำนวน14,816โรงเรียนและมีแนวโน้มเพิ่มต่อเนื่องเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้มีคุณภาพเพิ่มประสิทธิภาพการ
ประเด็นที่  4
            สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากระบี่ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนทั้งหมด 45.78 (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่,2557) ประสบปัญหากาจัดการเรียนการสอนเช่นเดียวกับโรงเรียนขนาดเล็กจึงได้นำนโยบายดังกล่าวมาจัดทำแผนพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก มีรูปแบบการจัดการเรียนการสอน 3รูปแบบ คือ 1) โรงเรียนร่วมทุกระดับชั้นมีจำนวน 21 โรง 2) โรงเรียนร่วมบางระดับชั้น มีจำนวน 6 โรง 3) โรงเรียนสอนตามปกติมีจำนวน 6 โรง พบว่าข้อมูลยังไม่ชัดเจนในการบริหารการเงิน พัสดุและทรัพย์สินและไม่ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งดำเนินการ จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ตามกรอบบริหารและการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ ศ. 2542

วัตถุประสงค์ของการวิจัย 
  1. ศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ตามความคิดเห็นของผู้บริหารการศึกษา ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
  2. เปรียบเทียบการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ตามความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสถานศึกษาและลักษณะของโรงเรียน
  3. ศึกษาความพึงพอใจ การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ตามความคิดเห็นของ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียน และนักเรียน
  4. รวบรวมปัญหาและข้อเสนอแนะ ในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียน และนักเรียน

  สมมุติฐานการวิจัย
  • ผู้บริหารสถานศึกษา  ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีตำแหน่ง  ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสถานศึกษาและลักษณะของโรงเรียนต่างกัน  มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่แตกต่างกัน

ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
     ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ
ตัวแปรอิสระ คือข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย
1.ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน
  • ประสบการณ์ในการบริหารงานในสถานศึกษา
  • ลักษณะของโรงเรียน
2.คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
  • ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสถานศึกษา , ลักษณะของโรงเรียน
3.ผู้ปกครองนักเรียน
  • ความสัมพันธ์กับนักเรียน,อายุ,เพศ,วุฒิการศึกษา,ลักษณะของโรงเรียน
4.นักเรียน
  • เพศ
  • ระดับชั้น
  • ลักษณะของโรงเรียน
ตัวแปรตาม
  1. การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ตามภารกิจ 4 ด้าน ได้แก่
-ด้านการบริหารจัดการทั่วไป
-ด้านการบริหารงานการเงิน พัสดุ และทรัพย์สิน
-ด้านการบริหารงานบุคคล
-ด้านการบริหารงานวิชาการ
     
    2.  ความพึงพอใจในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา

วิธีการดำเนินงานวิจัย
ประชากร  ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน จำนวน143 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไม่รวมครูและผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน126คน ผู้ปกครอง  จำนวน1,125คนและนักเรียนของโรงเรียนร่วมสังกัด 18 โรง จำนวน 405 คน รวมทั้งสิ้น 1,799 คน (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่,2017)
กลุ่มตัวอย่าง  จำนวน317 คน สุ่มแบ่งชั้นโดยใช้ลักษณะของโรงเรียนเป็นตัวแบ่งชั้น แล้วจึงเลือกแบบเจาะจง

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แบบสอบถามจำนวน 3 ชุด
  • ชุดที่ 1 แบบสอบถามผู้บริหาร สถานศึกษา ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
  • ชุดที่ 2 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม
  • ชุดที่3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยการจัดการเรียนร่วม
การดำเนินงานวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจเพื่อการศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่และศึกษาความพึงพอใจของผู้บริหารสถาศึกษาครูผู้สอนคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานผู้ปกครองนักเรียนและนักเรียนของโรงเรียนที่ดำเนินการจัดการเรียนร่วมช่วงปีการศึกษา2555-2556ซึ่งผู้วิจัยได้เนินการต่อไปนี้
  1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
  2. เครื่องมือในการวิจัยและการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
  3. วิธีการสร้างเครื่องมือ
  4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
  5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้
สรุปผลการวิจัย  ผู้บริหารสถานศึกษา  ครูผู้สอน  และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก  โดยการจัดการเรียนร่วมในภาพรวมและหลายด้านอยู่ในระดับปานกลาง  และเมื่อพิจารณารายข้อในด้านการบริหารจัดการทั่วไป  พบว่าผู้บริหารจัดการศึกษา  ครูผู้สอน  และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  มีความคิดเห็นว่าในการบริหารจัดการเรียนร่วมได้มีการดำเนินงานเรื่องการเดินทางไปเรียนร่วมกับนักเรียนและ  สามารถดำเนินการได้ตามแนวปฎิบัติและครอบคลุมนักเรียนทุกคนอย่างสูงสุดเท่ากัน